web analytics

ติดต่อเรา

CEO TALK : พระมหากรุณาธิคุณ กับอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย

สมาคมผู้สื่อข่าวรถยนต์และรถจักรยานยนต์ไทย (สรยท.) จัดเสวนา “CEO TALK : พระมหากรุณาธิคุณ กับอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย” โดยภายในงานนี้มุ่งกล่าวถึงบทบาทสำคัญของสถาบันพระมหากษัตริย์ต่ออุตสาหกรรมยานยนต์ไทย พร้อมทั้งเรื่องราวที่น่าประทับใจ และพระอัจฉริยภาพด้านยานยนต์ที่ไม่เคยได้ยินมาก่อน ณ ห้องจูปิเตอร์ 8-9 อาคารชาเลนเจอร์ เมืองทองธานี

โดยมี ปนัดดา เจณณวาสิน กรรมการรองผู้จัดการ บริษัท ตรีเพชรอีซูซุเซลส์ จำกัด, นพ.สมคนึง ตัณฑ์วรกุล กรรมการบริหารสมาคมรถโบราณแห่งประเทศไทย และ บุญพีร์ พันธ์วร ที่ปรึกษาพิเศษกลุ่มสยามกลการและกรรมการมูลนิธิพระปกเกล้าฯ และสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี ให้เกียรติเป็นวิทยากร และมี ขวัญชัย ปภัสร์พงษ์ “ประธานจัดงาน” มหกรรมยานยนต์ ครั้งที่ 33 ให้เกียรติ เป็นประธานเปิดงาน

ยุทธพงษ์ ภาษี นายกสมาคมผู้สื่อข่าวรถยนต์และรถจักรยานยนต์ไทย (สรยท) กล่าวว่าสมาคมฯ ในฐานะเป็นศูนย์รวมสื่อมวลชนสายอาชีพยานยนต์ ต่างสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณอันเป็นล้นพ้นอย่างหาที่สุดมิได้ ดังนั้น เพื่อยกระดับสื่อมวลชนให้มีความสามารถและเพิ่มพูนประสบการณ์ อันมีส่วนร่วมในการพัฒนาอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยให้เจริญก้าวหน้า

จึงการจัดเสวนา เพื่อแสดงออกถึงความจงรักภักดี และสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณอันเป็นล้นพ้น ผ่านการศึกษาเรื่องราวที่หาฟังได้ยาก และจะเป็นความทรงจำที่ดีตลอดไป ซึ่งตลอดรัชสมัยของรัชกาลที่ 9 ทุกคนต่างน้อมนำแนวทางตามพระราชดำริ มาปฏิบัติก่อให้เกิดประสบความสำเร็จมากมายในด้านอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย ส่งผลให้อุตสาหกรรมยานยนต์ของไทยเป็นที่ยอมรับและเทียบพัฒนาเทียบเคียงนานาชาติ

ปนัดดา เจณณวาสิน กรรมการรองผู้จัดการ บริษัท ตรีเพชรอีซูซุเซลส์ จำกัด กล่าวว่าในฐานะตัวแทนของกลุ่มอีซูซุ ได้มีโอกาศถวายงานรับใช้ใต้เบื้องพระยุคลบาทมาอย่างต่อเนื่อง โดย “กลุ่มอีซูซุมีโอกาสได้เข้าเฝ้าทั้งหมด 4 วาระ โดยมีครั้งหนึ่งที่ประทับใจที่สุดคือในวาระที่อีซูซุครบรอบการดำเนินธุรกิจ 50 ปีในประเทศไทยเมื่อปี พ.ศ. 2550

ผู้บริหารของอีซูซุได้ทำหนังสือส่งผ่านสำนักพระราชวัง เพื่อขอน้อมเกล้าถวายเงินจำนวน 50 ล้านบาท แต่พระองค์รับสั่งว่าขอให้เปลี่ยนเป็นรถอีซูซุ มิว เซเว่น จำนวน 10 คัน แทนการถวายเงิน เพื่อใช้ในโครงการต่าง ๆ แต่ทางกลุ่มอีซูซุมีความตั้งใจถวายเงิน 50 ล้านบาทอยู่แล้ว จึงได้ทำเรื่องถวายรถยนต์ อีซูซุ มิว เซเว่น อีก 10 คัน ซึ่งพระองค์ได้ปฏิเสธ และรับสั่งว่าหากต้องการถวายเงิน ให้หักค่ารถให้เท่ากับราคาที่จำหน่ายจริง เหลือเท่าไหร่ให้ถวายเงินตามจำนวนจริง

ในวันที่นำเงินและรถเข้าไปถวายพระองค์ทรงทอดพระเนตรรถอีซูซุ มิว เซเว่น อย่างละเอียด ซึ่งพระองค์มีความรู้เรื่องรถยนต์เป็นอย่างมาก ทรงถามหลายเรื่องทั้งเรื่องของกล้องมองหลังที่มีการติดตั้งเป็นครั้งแรก รวมทั้งเรื่องของระบบภาษีอีกด้วย นั่นทำให้รู้ว่าพระองค์ทรงมีความห่วงใยในหลายเรื่องของประชาชนจริง ๆ

นอกจากนี้ กลุ่มอีซูซุยังได้ตอบแทนสังคมไทยตามแนวพระราชดำริอย่างต่อเนื่องเสมอ เช่น โครงการอีซูซุเยาวชนสัมพันธ์, การจัดทำภาพยนตร์สั้นเทิดพระเกียรติ เพื่อส่งเสริมปรัชญา “เศรษฐกิจพอเพียง” โดยร่วมกับเมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ปจัดฉายในโรงภาพยนตร์ติดต่อกันเป็นเวลา 10 รวมภาพยนตร์สั้นทั้งหมด 14 ชุด

การมอบทุน 500,000 บาท เพื่อสนับสนุนกิจกรรมของมูลนิธิโครงการหลวง, โครงการอีซูซุให้น้ำ..เพื่อชีวิต ร่วมกับกรมทรัพยากรน้ำบาดาล กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เพื่อแก้ปัญหาการขาดแคลนน้ำดื่มสะอาดสำหรับโรงเรียนทั่วประเทศ เพื่อตอบสนองพระมหากรุณาธิคุณในเรื่องน้ำ เป็นต้น

ทั้งหมดนี้ นอกจากเป็นการน้อมนำพระราชดำริในการปฏิบัติงานและช่วยเหลือสังคมแล้ว ยังตรงกับปรัชญาของกลุ่มอีซูซุที่ว่า “วิถีอีซูซุ ผู้ใช้สุขใจ เพิ่มพูนรายได้ ช่วยสังคมพัฒนาอีกด้วย” ปนัดดา กล่าว

นพ.สมคนึง ตัณฑ์วรกุล กรรมการบริหารสมาคมรถโบราณแห่งประเทศไทย มีอีกแง่มุมในเรื่องพระอัจฉริยภาพด้านยานยนต์มาเล่าสู่กันฟังที่ว่า “ในหลวงรัชกาลที่ 9 ทรงมีพระปรีชาชาญในทุกเรื่อง โดยเฉพาะเรื่องของรถยนต์ ท่านทรงรู้จักรถยนต์หลายรุ่นเป็นอย่างดี โดยเมื่อทรงพระเยาว์ พระองค์ประทับที่เมืองโลซาน ประเทศฝรั่งเศส มีเส้นทางที่สวยงามและทรงประทับรถยนต์พระที่นั่งในการเดินทางอยู่เสมอ จึงมีความคุ้นเคยกับความเร็วและรถยนต์รุ่นต่าง ๆ ที่ใช้โดยสารเป็นประจำ

พระองค์ทรงมีรถยนต์พระที่นั่งอยู่หลายองค์ ซึ่งแต่ละองค์จะมีความแตกต่าง และมีความเหมาะสมในการใช้งานที่แตกต่างกัน อีกทั้งยังเป็นการเลือกใช้รถยนต์ให้เหมาะสมกับงบประมาณ เพราะรถยนต์หลายคันต้องใช้งบประมาณของประเทศในการจัดซื้อรถยนต์พระที่นั่งบางองค์มักจะถูกใช้งานจนมีสภาพที่ทรุดโทรม เนื่องด้วยถนนหนทางที่พระองค์ทรงเยี่ยมราษฎรในท้องถิ่นไม่ได้เป็นทางที่สะดวก หลายเส้นทางค่อนข้างทุรกันดาร จึงทรงมีพระราชดำริในการจัดซื้อรถที่เหมาะสมกับการใช้งานเป็นหลัก และรถยนต์พระที่นั่งบางองค์ก็ไม่ได้มีราคาสูง

มีอยู่ครั้งหนึ่งเมื่อวันที่ 13 กันยายน 2497 พระองค์ทรงเสด็จเยี่ยมราษฎรเป็นการส่วนพระองค์เป็นครั้งแรก เพราะต้องการไปตรวจเหตุการณ์ไฟไหม้ที่ตลาดบ้านโป่ง จ.ราชบุรี ด้วยความห่วงใยในความเป็นอยู่ของราษฎร จึงได้ขับรถ เดลลาเฮ (Delahaye) 135M Cabriolet (เดอลาเฮย์) ออกจากพระที่นั่งอัมพรสถาน

โดยมีสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ประทับไปด้วย ซึ่งรถเดอลาเฮย์คันนี้เป็นรถหรูและมีเครื่องยนต์พลังสูง อีกทั้งพระองค์ท่านมีความสามารถในการควบคุมรถด้วยความเร็วสูงเป็นอย่างดี ขนาดที่ทหารองครักษ์ขับรถตามไม่ทัน เพราะนึกถึงว่าเรื่องเดือดร้อนอย่างนี้ จะให้ประชาชนรอนานไม่ได้

นอกจากนี้ พระองค์ยังทรงมีรถยนต์พระที่นั่งอีกหลายองค์ ทั้งเป็นรถจากยุโรปและอเมริกา แต่ทุกคันจะถูกพิจารณาถึงความเหมาะสมต่อการใช้งานเป็นหลัก หลายคันเป็นรถหรูเพื่อให้สมพระเกียรติ แต่อีกหลายคันเป็นรถที่พร้อมสมบุกสมบันเพื่อเข้าไปให้เห็นถึงความเป็นอยู่ของราษฎรด้วยพระองค์เอง นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้” นพ.สมคนึง กล่าว

ด้าน บุญพีร์ พันธ์วร ที่ปรึกษาพิเศษกลุ่มสยามกลการและกรรมการมูลนิธิพระปกเกล้าฯ และสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี กล่าวว่า “นับเป็นเรื่องโชคดีที่ได้เกิดมาในรัชสมัยของในหลวงรัชกาลที่ 9 พระองค์ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ที่มีพระปรีชาสามารถด้านอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยอย่างแท้จริง และทรงสนับสนุนอยู่เบื้องหลังตลอดมา ทั้งการผลิต การนำเข้าและส่งออก รวมทั้งการสร้างถนนและสะพานเพื่อความสะดวกในการคมนาคม

พระองค์ทรงให้ความสำคัญต่ออุตสาหกรรมยานยนต์ว่าจะนำความเจริญมาสู่ประเทศไทย และรถยนต์พระที่นั่งของพระองค์ไม่ได้เป็นเพียงแค่รถที่หรูหราในยุคนั้น แต่ยังเป็นรถที่มุ่งเข้าไปทุกพื้นที่เพื่อแก้ปัญหาความเป็นอยู่ของราษฏร ซึ่งพระองค์ท่านได้ทำตามสัญญาที่เคยให้ไว้กับประชาชนว่า “หากประชาชนไม่ทอดทิ้งพระองค์ พระองค์ก็ไม่ทอดทิ้งประชาชน”

ภาพที่ประทับใจที่สุดคือ ภาพที่พระองค์ท่านกำลังเสด็จพระราชดำเนินไปยังประเทศสวิตเซอร์แลนด์ และมีเสียงประชาชนตะโกนออกมาว่า “ในหลวงอย่าทอดทิ้งประชาชน” พระองค์ได้ตรัสในภายหลังว่า “ถ้าประชาชนไม่ทอดทิ้งข้าพเจ้า แล้วข้าพเจ้าจะทอดทิ้งประชาชนได้อย่างไร” ซึ่งตลอดระยะเวลา 70 ปี ที่ทรงครองราชย์ พระองค์ไม่เคยทอดทิ้งประชาชนแต่อย่างใด

และในวันนี้ วันที่ไม่มีพระองค์จากพวกเราไปอย่างไม่มีวันหวนกลับ แม้ว่าพระวรกายไม่ได้อยู่กับประชาชนชาวไทย แต่พระองค์จะยังอยู่ในใจของพวกเราตลอดไป เพราะพระองค์คือผู้ปิดทองหลังพระอย่างแท้จริง

Comments

comments

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *