web analytics

ติดต่อเรา

โรลส์-รอยซ์ เตรียมเปิดตัวสุดยอดยนตกรรม ดอว์น แบล็กแบดจ์ (Dawn Black Badge) เปิดประทุนสุดหรู

โรลส์-รอยซ์ ได้สร้างปรากฏการณ์ครั้งสำคัญที่ได้เปลี่ยนแปลงโฉมหน้าของโลกยนตกรรมระดับลักชัวรี่ไปอย่างสิ้นเชิง ในงานเจนีวา มอเตอร์ โชว์ 2016 ที่ผ่านมา ด้วยการนำเสนอรถยนต์รุ่นสั่งผลิตพิเศษตระกูล แบล็ก แบดจ์ (Black Badge) เพื่อตอบสนองความต้องการของกลุ่มนักขับรุ่นใหม่ผู้มีรสนิยมที่หรูหราเหนือระดับ ชื่นชอบความโฉบเฉี่ยวเร้าใจ และมีไลฟ์สไตล์ในแบบเฉพาะตัว

นับตั้งแต่เปิดตัว แบล็ก แบดจ์สามารถดึงดูดผู้บริโภคระดับสูงรุ่นใหม่เป็นจำนวนมาก และจากความสำเร็จอันงดงามของยนตกรรม โกสต์ แบล็ก แบดจ์ และ เรธ แบล็ก แบดจ์ บัดนี้ ถึงเวลาแล้วที่ แบล็ก แบดจ์ จะก้าวไปอีกขั้นเพื่อสร้างปรากฏการณ์ครั้งใหม่ในโลกยานยนต์

2017 Goodwood Festival of Speed คือเวทีที่สมบูรณ์แบบสำหรับ แบล็ก แบดจ์ ในการเปิดตัวยานยนต์รุ่นที่ 3 ที่จะสั่นสะเทือนโลกยานยนต์อีกครั้ง กับ ดอว์น แบล็ก แบดจ์ (Dawn Black Badge) รถยนต์เปิดประทุนอันหรูหราไร้ที่ติหนึ่งเดียวในโลก

 

นับตั้งแต่เปิดตัวในปี ค.ศ. 2016 เป็นต้นมา แบล็ก แบดจ์ กลายเป็นรถยนต์ซึ่งเป็นที่ต้องการมากที่สุดในโลกยานยนต์ระดับซูเปอร์ลักชัวรี่ ด้วยระบบวิศวกรรมและการออกแบบที่ผลิตขึ้นโดยเฉพาะเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคระดับสูงที่ปรารถนา รถยนต์โรลส์-รอยซ์ที่โดดเด่นไม่เหมือนใคร” เท่านั้น

แบล็ก แบดจ์ คือความมุ่งมั่นของโรลส์-รอยซ์ในการตอบสนองความต้องการของลูกค้ากลุ่มเล็ก ๆ ที่ต้องการรถยนต์ซึ่งมีลักษณะเฉพาะตัว เพื่อสะท้อนถึงตัวตนที่แตกต่าง ความสำเร็จ และความหรูหราของการใช้ชีวิตที่พิเศษเหนือใคร ลูกค้ากลุ่มนี้เลือกที่จะนิยามตนเองให้แตกต่างจากคนอื่น ๆ ในสังคมอย่างชัดเจน เป็นคนพิเศษในหมู่คนพิเศษ” นั่นเอง

สุดยอดยนตกรรม ดอว์น แบล็ก แบดจ์

ดอว์น แบล็ก แบดจ์ นำเสนอภาพลักษณ์ที่หรูหรา เร้าอารมณ์ และโดดเด่นในวงสังคมยามราตรี เพื่อให้สอดคล้องกับไลฟ์สไตล์นักขับโรลส์-รอยซ์รุ่นใหม่ ด้วยการออกแบบยานยนต์เปิดประทุนที่หรูหราเปี่ยมเสน่ห์ที่จะตราตรึงใจทุกคนที่ได้พบเห็นให้ดำดิ่งสู่ความลึกล้ำอันยากจะต้านทาน ด้วยระบบวิศวกรรมและดีไซน์เฉพาะของ แบล็ก แบดจ์

ดอว์น แบล็ก แบดจ์ ที่จัดแสดงในงาน Festival of Speed นำเสนอในเฉดสีดำสนิท โดยผ่านขั้นตอนการทำสีและเคลือบเงาอย่างประณีตหลายชั้น และชักเงาโดยช่างฝีมือ ซึ่งนับว่าเป็นกระบวนการทำสีและเคลือบเงารถยนต์ที่มีขั้นตอนมากที่สุดเท่าที่เคยปรากฏมา ทำให้งานออกแบบ ดอว์น มีเส้นขอบเหลี่ยมมุมที่เร้าอารมณ์พร้อมด้วยพื้นผิวโทนสีดำมันวาวที่มีความเข้มและล้ำลึกมากที่สุด ส่วนหลังคาสามารถเปิดได้อย่างนุ่มนวลและเงียบเชียบราวกับการแสดงบัลเลต์ในความเงียบงัน เพื่อให้นักขับได้รับฟังเสียงต่าง ๆ ยามราตรีอย่างเต็มอารมณ์ ประทุนหลังคาเป็นโครงผ้าใบสีดำ ส่วนแผงหลังเบาะท้ายหุ้มด้วยหนังสีดำสนิทรับกันอย่างสวยงาม

นักออกแบบฝ่ายรถยนต์สั่งผลิตของโรลส์-รอยซ์ ยังต้องค้นหาสัญลักษณ์ที่เหมาะสมให้กับรถยนต์ทุกรุ่น สำหรับ ดอว์น แบล็ก แบดจ์ ยังคงเลือกใช้ สัญลักษณ์ สปิริต ออฟ เอ็กสตาซี (Spirit of Ecstasy) ซึ่งในอดีตที่ผ่านมาถูกนำมาใช้เป็นตัวแทนของความหรูหราในหลายรูปแบบ และสำหรับ ดอว์น นั้น Spirit of Ecstasyปรากฏโฉมใหม่ในรูปทรงของหญิงสาวทรงเสน่ห์พื้นผิวโครเมียมสีดำขลับแวววาวที่มอบความงดงามสมบูรณ์แบบ การเปลี่ยนมาใช้โครเมียมสีดำสนิทเพื่อสื่อถึงความงามอันล้ำลึกนี้ยังถูกนำมาใช้ในส่วนตะแกรงหน้า พื้นผิวของฝาปิดส่วนเก็บสัมภาระ ท่อไอเสีย และพื้นผิวของท่อลมเข้า เพื่อสื่อถึงความงามที่ล้ำลึกและแข็งแกร่งยิ่งขึ้น และสัมผัสได้ถึงความมั่นใจของผู้ขับขี่ ส่วนเครื่องหมายตัวอาร์ (R) ซ้อนกันของโรลส์-รอยซ์ ได้ถูกทำสีสลับกัน เพื่อตอกย้ำถึงการสร้างสรรค์สัญลักษณ์ของแบรนด์คุณภาพระดับโลกอย่างแท้จริง

ภาพลักษณ์การออกแบบที่เคร่งขรึมลุ่มลึกนี้ยังถูกนำไปใช้ในการตกแต่งห้องโดยสารภายในได้อย่างงดงาม เพื่อสร้างเวทีเปิดประทุนที่หรูหราสง่างามสำหรับนักขับผู้แสวงหาความรื่นรมย์ยามราตรี

ดอว์น แบล็ก แบดจ์ เกิดจากการประสานงานระหว่างแผนกการออกแบบและแผนกวิศวกรรมของโรลส์-รอยซ์ เพื่อการสร้างสรรค์ยนตกรรมรุ่นใหม่ที่หรูหราอย่างแท้จริง ซึ่งสะท้อนถึงปรัชญาของ เซอร์เฮนรี่ รอยซ์ ที่ว่า หากสิ่งนั้นไม่เคยมี จงออกแบบขึ้นใหม่ โดยเฉพาะนวัตกรรมการทำสีและตกแต่งพื้นผิวภายนอกให้เงางามระดับพรีเมียม ซึ่งมีแรงบันดาลใจมาจากองค์ความรู้ในอุตสาหกรรมการบินของโรลส์-รอยซ์ ผนวกกับเทคโนโลยีการผลิตอากาศยานอำพรางตัว (เครื่องบินแบบสเตลธ์) ในยุคปัจจุบัน

พื้นผิวของตัวถังผลิตขึ้นอย่างพิถีพิถันทุกขั้นตอนตามมาตรฐานของโรลส์-รอยซ์ โดยใช้เส้นใยอลูมิเนียมแบบละเอียดเส้นผ่าศูนย์กลาง 0.014 เมตรเกรดเดียวกับอากาศยาน นำมาทออย่างประณีตผสานเข้ากับเส้นใยคาร์บอนไฟเบอร์ หลังจากนั้นจึงเคลือบพื้นผิวด้วยแล็กเกอร์ถึง 6 ชั้นและปล่อยให้เซตตัว 72 ชั่วโมง แล้วจึงนำมาชักเงาโดยช่างฝีมือเพื่อให้มีผิวแวววาวดุจกระจกในแบบฉบับของโรลส์-รอยซ์ ผลลัพธ์ที่ได้คือพื้นผิวที่งดงามสมบูรณ์แบบในเฉดสีดำสนิทที่สวยงามแบบล้ำลึก สอดคล้องกับนิยามแห่งสุนทรีภาพของนักขับสมัยใหม่อย่างลงตัว

การนำเสนอความงามในเฉดสีดำอันประณีตนี้ยังก่อให้เกิดนวัตกรรมอื่น ๆ อาทิ การคิดค้นเทคนิคการผลิตรูปแบบใหม่ Physical Vapour Deposition ซึ่งเป็นเทคนิคการตกแต่งพื้นผิวระดับสูงที่ใช้กับส่วนท่ออากาศภายในตัวรถทั้งหมด ทำให้ได้พื้นผิวที่ทนทาน โดยสีจะไม่มีการซีดจางหรือหมองลงเลย

นอกจากนวัตกรรมการผลิตรูปแบบใหม่ที่สะท้อนถึงปรัชญาการทำงานชั้นเลิศแล้ว ดอว์น แบล็ก แบดจ์ ยังนำเสนอโทนสีใหม่ล่าสุดสำหรับการตกแต่งห้องโดยสารภายในอย่างที่ไม่เคยมีรถยนต์รุ่นใดทำมาก่อน โดดเด่นด้วยหนังสีดำสนิทที่มีไฮไลท์ด้วยแถบสีส้มแนดารินที่โอบล้อมพื้นที่ส่วนกลางทั้งหมดของห้องโดยสาร ชวนให้นึกถึงสีสันของขอบฟ้าในช่วงอาทิตย์อัศดงก่อนที่นักขับจะนำ ดอว์น แบล็ก แบดจ์ พุ่งทะยานไปในยามราตรี           

อีกหนึ่งความโดดเด่นของการตกแต่งพื้นผิวของ ดอว์น แบล็ก แบดจ์ ยังได้แรงบันดาลใจมาจากหนึ่งในแฟนพันธุ์แท้ผู้โด่งดังของโรลส์-รอยซ์ คือเซอร์มัลคอล์ม แคมป์เบล โดยสัญลักษณ์ อินฟินิตี้” อันเลื่องชื่อของเขาถูกนำมาใช้กับการตกแต่งพื้นผิวของพนักวางแขนระหว่างเบาะนั่ง ในห้องโดยสารด้านหลัง เพื่อเป็นเกียรติแก่บุรุษผู้มีจิตวิญญาณอันกล้าแกร่งและไม่หยุดนิ่ง ซึ่งได้กลายมาเป็นแนวทางของ แบล็ก แบดจ์ ในปัจจุบัน

ระบบวิศวกรรมยานยนต์หนึ่งเดียวที่ผลิตแบบเฉพาะอย่างแท้จริง

ระบบวิศวกรรมของ ดอว์น มีความเป็นเลิศอย่างมากเช่นเดียวกับยานยนต์ 2 รุ่นก่อนคือ โกสต์ และ เรธ ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงมาตรฐานขั้นสูงสุดของ แบล็ก แบดจ์ โดย ดอว์น นำเสนอระบบขับเคลื่อนที่นำนักขับไปสัมผัสกับจิตวิญญาณแห่งการพุ่งทะยานที่แท้จริง ด้วยการติดตั้งระบบท่อไอเสียที่ออกแบบใหม่ทั้งหมดและสามารถใช้งานได้เพียงการกดปุ่มเดียวเท่านั้น ซึ่งจะส่งเสียงกระหึ่มอันน่าเกรงขามจากเครื่องยนต์ v12 อันทรงพลังที่ให้เสียงคำรามแบบเบสบาร์ริโทน ซึ่งมิใช่แค่การเรียกร้องความสนใจ หากสื่อถึงการมาเยือนของผู้ทรงอำนาจที่แท้จริง

เสียงคำรามของระบบท่อไอเสียนี้ได้สร้างมิติแห่งเสียงรูปแบบใหม่สู่ความล้ำหน้าทางวิศวกรรมยานยนต์ เนื่องจากรถยนต์ แบล็ก แบดจ์ คือการผสมผสานการออกแบบและระบบวิศวกรรมแบบสั่งผลิตพิเศษ เพื่อตอบสนองความต้องการของนักขับรุ่นใหม่ที่ต้องการมากกว่าความหรูหราเฉพาะตัว แต่ยังรวมถึงประสบการณ์การขับขี่ระดับคุณภาพที่ไร้คู่แข่งที่ทำให้ ดอว์น สามารถนำพาผู้ขับไปสู่ความสำเร็จในทุกเส้นทาง ด้วยเหตุนี้ ทีมวิศวกรจึงเลือกใช้เครื่องยนต์ v12 แบบทวินเทอร์โบ 6.6 ลิตร ซึ่งสามารถเพิ่มกำลังเครื่องยนต์ขึ้นไปอีก 30 แรงม้า ทำให้ ดอว์น สามารถเพิ่มพลังจาก 563 แรงม้าเป็น 593 แรงม้าได้อย่างน่าอัศจรรย์ ระบบเกียร์แบบ Infinite Gear ชั้นเลิศยังได้รับการอัพเกรด โดยเพิ่มแรงบิดอีก 20 นิวตันเมตรที่ 1,500 รอบต่อนาที ทำให้ ดอว์น แบล็ก แบดจ์ มีแรงบิดสูงสุดถึง 840 นิวตันเมตร

ในส่วนของระบบส่งกำลังและวาล์วได้รับการปรับปรุงใหม่ทั้งหมดเพื่อให้ ดอว์น สามารถพุ่งทะยานได้อย่างฉับพลันโดยไม่ลดทอนความหรูหราของความเป็นรถเปิดประทุนระดับหรูของโลกลงแม้แต่น้อย รวมถึงการผสานการทำงานของกระปุกเกียร์ 8 สปีดรุ่น ZF เข้ากับแรคพวงมาลัย ให้สัมพันธ์กับระบบวาล์วและองศาการหมุนพวงมาลัยอย่างสมบูรณ์แบบ ทำให้ได้รูปแบบการขับขี่ที่เพลิดเพลิน ทั้งในยามขับขี่ความเร็วต่ำและการออกตัวโลดแล่นไปด้วยความเร็วสูง อีกทั้งระบบกันสะเทือนและการติดตั้งอุปกรณ์รูปแบบใหม่ยังช่วยมอบสมดุลที่ดีเยี่ยมระหว่างการขับขี่ที่แสนสบายและความรู้สึกของการผสานเป็นหนึ่งเดียวกับยานยนต์ แม้ในยามกำลังเข้าโค้งด้วยความเร็วสูง

การพุ่งทะยานด้วยความเร็วสูงอันทรงพลังของ ดอว์น แบล็ก แบดจ์ ยังทำให้เกิดการพัฒนาระบบเบรกใหม่โดยเพิ่มขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางของจานเบรกอีก 1 นิ้ว ซึ่งในระหว่างลดความเร็ว การคำนวณขั้นพื้นฐานของระบบส่งกำลังเครื่องจะลดรอบการหมุนเครื่องยนต์ลงก่อนการเบรก ทำให้สามารถเบรกรถได้อย่างราบลื่นและแม่นยำมากยิ่งขึ้น

นอกจากนี้ แรคพวงมาลัยมีการปรับแต่งให้มีความไวและตอบสนองได้รวดเร็วยิ่งขึ้น ซึ่งระบบการปรับค่าการทำงานของรถยนต์ที่แปรผันตามความเร็วจะช่วยให้นักขับ แบล็ก แบดจ์ สัมผัสได้ถึงความรู้สึกปลอดภัย โดยการบังคับพวงมาลัยจะมีน้ำหนักมากขึ้นเมื่อขับขี่ด้วยความเร็วสูงมาก

ดอว์น แบล็ก แบดจ์ ดำเนินการผลิตตามคำสั่งผลิตของลูกค้าเฉพาะรายเท่านั้น

 

Comments

comments

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *